รีวิวเจาะลึก “Noble Around Ari” คอนโดใหม่ ใจกลางย่านอารีย์ ติดถนนพหลโยธิน 90 ม.จาก BTS อารีย์
ถ้าถนนสุขุมวิทมีทองหล่อ ถนนพหลโยธินก็มีอารีย์ใช่ไหมครับ เรียกได้ว่าอารีย์ก็เป็นย่านดังอีกย่านของกรุงเทพเลย กับความเฉพาะตัว ทั้งมีความเก่าแก่แต่ก็ผสมความเป็นใจกลางเมืองที่มีทั้งตึกออฟฟิศ ทั้งแหล่ง Lifestyle กินดื่ม
วันนี้เราเลยจะพามาดูโครงการคอนโดใหม่พร้อมอยู่ ที่เพิ่งสร้างเสร็จตัวล่าสุดของย่านอารีย์กันครับ กับโครงการ Noble Around Ari
ที่นี่จะเป็นคอนโดระดับ Luxury สำหรับใครที่มองหาคอนโดเรทช่วง 5-10 ลบ. ทำเลใจกลางเมือง ที่เน้นเดินทางสะดวก ใกล้แหล่งงานโซนพหลและ BTS สายสุขุมวิท
จุดเด่นของโครงการนี้ก็มีหลายจุดครับ เช่น
📌 90 ม.จาก BTS อารีย์ ได้อยู่บน BTS สายสุขุมวิท รถไฟฟ้าสายหลักของกรุงเทพ
📌 ใจกลางย่านอารีย์ แหล่งที่เป็นทั้งย่าน Lifestyle กินดื่มและออฟฟิศ
📌 คอนโดหนึ่งเดียวที่เปิดขายในตอนนี้ ในย่านอารีย์ ที่ได้ทำเลติดถนนใหญ่ พหลโยธิน
📌 Facility จัดเต็ม ห้อง Lounge ขนาดใหญ่ชมวิวเมือง
📌 สระว่ายน้ำ Rooftop แบบ 360 องศา ว่ายวนได้รอบตึก
📌 วิวจากชั้นส่วนกลาง Rooftop แบบ Around รอบ Ari
📌 ดีไซน์ตึกเรียบๆ เท่ๆ เอกลักษณ์สไตล์ Noble ในคอนเซป Timeless Modernist Design
📌 ห้องมีให้เลือกหลาย Type สไตล์ Compact Luxury เริ่ม 26 ถึง 44 ตารางเมตร
📌 มีห้องมุมให้เลือกหลายตำแหน่ง ช่องแสงเยอะเป็นพิเศษ
ที่นี่จะเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้เราจะพาไปดูกันแบบเจาะลึก ละเอียดๆ เลยครับ
สำหรับโครงการ Noble Around Ari (โนเบิล อราวน์ อารีย์) ที่นี่จะเป็นคอนโดระดับ Luxury จาก Noble Development ครับ ตึกจริงเพิ่งสร้างเสร็จในช่วงปีที่ผ่านมานี่เอง จุดเด่นของที่นี่ก็หนีไม่พ้นเรื่องของทำเลที่อยู่กลางย่านอารีย์จริงๆ และติดถนนใหญ่พหลโยธิน ห่างสถานี BTS อารีย์ประมาณ 90 เมตร
และจุดไฮไลท์ของโครงการที่จัดส่วนกลางออกมาเน้นวิวเมือง ทั้งส่วนของห้อง Lounge ที่อยู่กลางตึก และสระว่ายน้ำชั้น Rooftop แบบ 360 องศาเห็นวิวรอบด้าน สำหรับใครที่มีงบอยู่ในช่วง 5-10 ล้านบาท มองหาคอนโดทำเลติดรถไฟฟ้า ใจกลางเมืองครับ
แต่ก่อนจะไปดูภายในโครงการแบบเจาะลึก เราขอพาไปรู้จักกับทำเลย่าน “อารีย์” ของโครงการกันก่อนครับ
ต้องบอกว่าอารีย์เป็นย่านนึงของกรุงเทพที่มีความเก่าแก่ และมีความเฉพาะตัวสูงมาก มีฟิลลิ่งที่แตกต่างจากย่านอื่น เป็นอีกย่านที่ Vibe ในการอยู่อาศัยค่อนข้างดีพอสมควร จนทำให้ใครหลายๆ คนที่มาในย่านนี้ชอบในบรรยากาศได้ไม่ยาก
จุดเริ่มต้นของย่านอารีย์ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยปี 2479 เลยครับ จากการเริ่มตัดถนน “ประชาธิปัตย์” เชื่อมต่อกรุงเทพฯ ไปย่านดอนเมือง ซึ่งในยุคนั้น ย่านนี้ยังเป็นพื้นที่ชานเมืองของกรุงเทพฯ ที่ทำเกษตรกรรมเป็นหลัก (นึกภาพยุคที่สะพานควายมีควายจริงๆ)
ซึ่งการตัดถนนผ่านในย่าน ก็ทำให้พื้นที่ในโซนนี้ในช่วงปี 2480-2490 เติบโตขึ้นมาเป็นอย่างมากในยุคนั้นครับ เริ่มมีการเข้ามาของทั้งฝั่งบ้านเรือนต่างๆ และหน่วยงานราชการ ที่มาตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก อย่างที่เรายังเห็นหลายๆ หน่วยงานก็ยังมีที่ตั้งอยู่ในย่านนี้จนถึงปัจจุบัน โดยมีการเปลี่ยนชื่อถนนมาเป็น “ถนนพหลโยธิน” ในปี 2493
ซึ่งจากแผนที่ในช่วงปี 2499 ก็มีซอยราชครูและซอยอารีย์ปรากฎอยู่แล้วครับ มีบ้านต่างๆ มาตั้งอยู่ตั้งแต่ในช่วงนั้น เราเลยจะเห็นว่าในซอยอารีย์เอง บ้านต่างๆ จะเป็นบ้านที่ค่อนข้างเก่าแก่ มีพื้นที่ขนาดใหญ่ หลายๆ ครอบครัวที่อาศัยอยู่ในย่านนี้ก็อยู่กันมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นยาย เป็นย่านบ้านผู้ดีเก่าแก่ของโซนนี้ครับ
จุดเปลี่ยนของย่านอารีย์ครั้งที่ 2 ก็จะมาในช่วงประมาณยุค 2530-2540 หรือว่ายุค 90 นั่นเองครับ จากการที่เมืองกรุงเทพฯ ขยายตัวออกมา ในยุคที่เศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟูแบบสุดๆ เราจะเห็นว่าในย่านนี้นอกจากหน่วยงานราชการแล้ว ในยุคนี้นี่เองเริ่มมีอาคารออฟฟิศต่างๆ มาขึ้นมาตามแนวถนนพหลโยธิน ซึ่งตึกต่างๆ เหล่านี้มากันก่อนที่จะมีรถไฟฟ้าอีกครับ
จนกระทั่งการมาของรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว ก็ยิ่งช่วยมาเติมเต็มการเติบโตของย่านนี้ และเป็นยุคที่การอยู่อาศัยในรูปแบบของคอนโดเริ่มบูม ดังนั้นในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา เราเลยจะเห็น Developer เจ้าต่างๆ สนใจมาปักหมุดสร้างโครงการในย่านอารีย์กัน
และด้วยลักษณะถนนของซอยอารีย์เองที่ไม่ได้กว้างมาก เราเลยจะเห็นคอนโด Highrise ส่วนใหญ่ อยู่ในแถบแค่อารีย์ซอย 1 กับถนนใหญ่ ซึ่งในซอยอารีย์เข้าไปก็ยังเป็นบ้านดั้งเดิม เลยทำให้ย่านนี้ในปัจจุบัน เป็นย่านที่ค่อนข้าง Blend กันระหว่างความทันสมัยใจกลางเมือง กับกลิ่นอายความเป็นย่าน Residential แบบยุคเก่านั่นเองครับ
ถ้าพูดถึงย่าน “อารีย์” อีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือในเรื่องของความเป็นแหล่ง Lifestyle ของย่านพหลโยธินครับ คือถ้าสุขุมวิทมีย่านทองหล่อ อารีย์เองก็เป็นสิ่งนั้นบนถนนพหลโยธิน ด้วยความที่ย่านนี้จะมีร้านอาหารต่างๆ มีคาเฟ่มาเปิดเยอะ ก็เป็นอีกจุดนึงที่เป็นเสน่ห์ของย่านอารีย์ ที่จะเป็นโซนที่มีความ Lively มีชีวิตชีวา
ซึ่งย่านนี้ก็จะมีร้านดังต่างๆ กระจายอยู่ทั้งบริเวณติดถนนพหลโยธินเอง หรือว่าบริเวณตามบ้านในซอยอารีย์ซอยต่างๆ ครับ นอกจากนี้ในย่านนี้ก็จะมี Community Mall ชื่อดังอย่าง GUMP’S อารีย์, Vanit Village และ La Villa อารีย์ตั้งอยู่ด้วย
อีกจุดที่แอบอยากพูดถึง เป็นย่านที่เติบโตตามอารีย์ขึ้นมาในช่วงหลังก็จะเป็นย่านประดิพัทธ์ที่อยู่ใกล้ๆ กันครับ ในย่านนี้เองก็จะเป็นแหล่ง Streetfood อีกแหล่งที่มีของกินค่อนข้างเยอะ รวมถึงมี Community ขนาดเล็กๆ อย่างโครงการ AQUA และ The Hub เป็นอีกย่านที่มีร้านอาหารดีๆ ร้านดังรวมอยู่กันเยอะเช่นกันครับ
ดังนั้นในเรื่องของแหล่ง Lifestyle ใจกลางเมือง ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดขายหลักของย่านอารีย์เลยก็ว่าได้ครับ ที่ทำให้ย่านนี้แตกต่างจากย่านอื่นบนแนวรถไฟฟ้าฝั่งพหลฯ เพียงแต่ว่าย่านนี้อาจจะไม่ได้มีห้างใหญ่ๆ ตั้งอยู่ในย่าน แต่ขึ้นรถไฟฟ้าไปไม่ไกลก็มีห้างต่างๆ ให้เลือกหลายแห่งครับ
อย่างที่บอกไปว่าช่วงต้นถนนพหลโยธินตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้กลายมาเป็นย่านใจกลางเมืองเป็นที่เรียบร้อย เราก็จะเห็นได้ว่าทั้งสองฝั่งถนนพหลโยธินเอง ก็จะมีทั้งหน่วยงานราชการ, กรมกองทหาร, ตึกออฟฟิศต่างๆ รวมไปถึงโรงแรม-โรงพยาบาลต่างๆ ตั้งอยู่ค่อนข้างเยอะ
อย่างหน่วยงานราชการที่ใหญ่ๆ ก็อย่างเช่น สำนักงบประมาณ, สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก, กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ฯ, กองพันที่ 1 กรมทหารรักษาวังมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์, กรมสรรพากร, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวะล้อม, กสทช., กรมประชาสัมพันธ์ และธนาคารออมสิน
หรือจะเป็นตึกออฟฟิศ ถ้ายุคเก่าหน่อยก็เช่น อาคาร EXIM Bank, อาคารสำนักงานใหญ่กสิกรไทย, อาคารชินวัตร 1-2 ที่เป็นสำนักงานใหญ่ของ AIS, อาคารพหลโยธินเพลส, อาคาร IBM และอาคาร SME BANK
และในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา บนถนนพหลโยธิน-พญาไทก็เป็นอีกย่านนึงที่ออฟฟิศต่างๆ มาเปิดกันเยอะมากครับ เป็นอีกยุคนึงที่ย่านนี้เติบโตขึ้นกว่าเดิม อย่างช่วงปทุมวัน-ราชเทวี ก็จะมีอาคารสยามปทุมวันเฮ้าส์, Summit Tower (JRK), Spring Tower, ตึก The Unicorn ของกลุ่ม BTS
ถัดมาในฝั่งของถนนพหลโยธินก็จะมีอาคาร One Origin สนามเป้าที่เป็น Mixed Use, อาคารสำนักงบประมาณใหม่, อาคาร Pearl Bangkok, อาคาร Vanit Place, อาคาร SC Tower, Ari Hills หรือถ้าฝั่งสะพานควายก็มีอาคาร The Rice ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่หัวมุมแยกครับ หรือที่บริเวณสวนจตุจักรก็มีอาคาร Mochit Complex ที่กำลังสร้างอยู่
ทำให้รวมๆ ในช่วงแค่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในย่านนี้เองมีตึกสำนักงานเปิดใหม่มากว่า 10 ตึกเลยทีเดียว ไม่นับว่ายังมีอาคารโรงพยาบาลต่างๆ ที่สร้างเพิ่มใหม่อีกเช่นตึกใหม่ของโรงพยาบาลราชวิถี, โรงพยาบาลวิมุต และศูนย์การแพทย์รามาธิบดีศรีอยุธยาครับ
สำหรับโซนอารีย์ นอกจากความเป็นแหล่งงานและแหล่ง Lifestyle ใจกลางเมืองแล้ว การที่อิงการเดินทางบนถนนพหลโยธินและรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท ทำให้ย่านนี้ก็สามารถเชื่อมต่อกับย่านใกล้เคียงได้หลายจุดครับ อย่างถ้านั่งรถไฟฟ้าออกมานิดเดียวก็จะเป็นจตุจักรและห้าแยกลาดพร้าว เป็นโซนที่มีสวนขนาดใหญ่และห้าง หรือถ้านั่งรถไฟฟ้าเข้าไปด้านใน ก็จะผ่านอนุสาวรีย์ชัยฯ ไม่กี่สถานีถึงสยามที่เป็นโซน Shopping หลักของกรุงเทพครับ
โซนการแพทย์ อนุสาวรีย์ชัยฯ
สำหรับคนที่มองหาคอนโดในย่านพหลโยธิน นอกจากจะเป็นกลุ่มที่ทำงานในออฟฟิศที่อยู่ในย่านนี้แล้ว อีกกลุ่มคนใหญ่ๆ ที่มองหาคอนโดในย่านนี้ด้วยเช่นกันก็จะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ในโรงพยาบาลในย่านใกล้ๆ นี้ครับ ซึ่งต้องบอกว่าในย่านอนุสาวรีย์ชัย-พระราม 6 ตรงนี้ถือเป็น Hub ขนาดใหญ่เกี่ยวกับด้านการแพทย์เลย ด้วยความที่มีโรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชนชื่อดังหลายโครงการมาตั้งอยู่ ทำให้คอนโดในแถบราชเทวี, พญาไท, สนามเป้า, อารีย์ และตามแนวพหลโยธินมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นคุณหมอเยอะเป็นพิเศษ
ยกตัวอย่างโรงพยาบาลในละแวกนี้ก็อย่างเช่นโรงพยาบาลราชวิถี, โรงพยาบาลรามา, โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า, โรงพยาบาลพญาไท 1 และ 2, โรงพยาบาลสงฆ์, คณะเภสัชศาสตร์และคณะวิทย์ม.มหิดล, องค์การเภสัชกรรม, ศูนย์การแพทย์รามาธิบดี ศรีอยุธยา, โรงพยาบาลทหารผ่านศึก หรือที่ใกล้กับโครงการก็จะมีโรงพยาบาลวิมุตและโรงพยาบาลเปาโล เป็นย่านที่มีการกระจุกตัวอยู่ของโรงพยาบาลเยอะเป็นพิเศษ
สวนจตุจักร – ห้าแยกลาดพร้าว
ทางด้านสวนจตุจักรก็จะเป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ของย่านนี้เลยครับ อยู่ห่างจากโครงการเพียงแค่ 2 สถานี มีพื้นที่สวนสาธารณะกว่า 700 ไร่ รวมพื้นที่ 3 สวนเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสวนรถไฟ, สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ และสวนจตุจักร สามารถมาพักผ่อน ออกกำลังกายในตอนเช้า-เย็น หรือมานั่งเล่นได้
นอกจากนี้บริเวณนี้ก็จะมีแหล่งชอปปิ้งอย่างตลาดนัดจตุจักร รวมไปถึงห้าแยกลาดพร้าวที่เป็นที่ตั้งของห้างใหญ่ในย่านนี้อย่างเซ็นทรัลลาดพร้าวและยูเนี่ยนมอลครับ และตรงนี้จะเป็น Interchange สำหรับเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินได้ด้วย
มาถึงตัวโครงการกันบ้าง สำหรับโครงการนี้จะแตกต่างจากคอนโดตึกสูงแบบ High-rise ในย่านอารีย์ตึกอื่นพอสมควรครับ ที่ส่วนใหญ่จะไปตั้งกันอยู่ในอารีย์ซอย 1 แต่ที่นี่จะเป็นคอนโดโครงการเดียวในย่านเลยครับที่ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธินติดถนนใหญ่ โดยจะอยู่ฝั่งขาเข้า ห่างจาก BTS สถานีอารีย์ประมาณ 90 เมตร ดังนั้นระยะเดินจากรถไฟฟ้าตัวนี้ก็ถือว่าแทบจะติดสถานีเลย และ Exposure ความเด่นของโครงการก็ค่อนข้างเด่นพอสมควรเลย
ถ้ายังนึกที่ตั้งไม่ค่อยออก ที่ตั้งของที่นี่ก็จะอยู่ตรงข้ามกับตึก Pearl Bangkok ซึ่งเป็นตึกที่เด่นเป็น Landmark ของย่านนี้ครับ
รอบข้างเพื่อนบ้านตรงนี้ก็จะมีตึกออฟฟิศต่างๆ มาตั้งกันอยู่เยอะครับ ด้วยความที่อารีย์ก็เป็นอีกย่านบนถนนพหลโยธินที่ค่อนข้างคึกคัก ตึกออฟฟิศที่อยู่ในระยะเดินไม่เกิน 100 เมตรจากโครงการเลยก็จะมี Vanit Place ที่อยู่ด้านขวา ตึก SME Bank ทางด้านซ้าย และตรงข้ามเป็น Pearl Bangkok และ EXIM BANK ครับ
ซึ่งตัวอาคาร Vinit Place จะมี Vanit Village ที่เป็น Community Mall ด้านหน้า มีร้านอาหารและคาเฟ่/ร้านไวน์มาเปิด ตรงนี้แทบจะติดกับโครงการเลย และจากโครงการก็สามารถเดินไป La Villa อารีย์ได้ครับ อยู่ห่างไป 100 กว่าเมตร เป็นที่จุดที่มีร้านอาหารรวมไปถึง Villa Market ตั้งอยู่
บรรยากาศของถนนพหลโยธินแถบนี้ ก็จะเป็นช่วงที่นำสายไฟลงดินเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ฟุตบาทกว้าง ช่วงเวลาทำงานก็จะมีคนเดินสัญจรตลอดทั้งวัน และนอกจากใน Community Mall ต่างๆ ในตึกแถวทั้งสองข้างทางก็จะมีของกินเช่นเดียวกันครับ
ที่นี่การเดินทางโดยใช้รถจะใช้ถนนพหลโยธินที่ติดกับโครงการเป็นเส้นหลักครับ สามารถใช้งานเพื่อเชื่อมต่อเข้าไปในโซนสยาม-ราชเทวี-อนุสาวรีย์ชัยฯ ได้ ที่ตั้งของโครงการจะอยู่ระหว่างจุดกลับรถ 2 จุด ไม่ไกลจากตัวโครงการมาก ก็สามารถกลับรถมาเข้าโครงการหรือออกจากโครงการแล้วกลับรถเลยได้สะดวกครับ
แต่ด้วยความที่เป็นถนนสายหลักของกทม.อย่างที่เราทราบกัน ในช่วงเวลาเร่งด่วนก็จะมีเรื่องของความหนาแน่นของจราจรอยู่เป็นธรรมดาครับ อันนี้น่าจะเป็นเรื่องปกติที่ต้องเจอของคอนโดทำเลใจกลางเมือง ถึงแม้ว่าอาจจะยังน้อยกว่าฝั่งสุขุมวิทอยู่หน่อย
ซึ่งถนนพหลโยธินช่วงนี้ จะมีข้อดีตรงที่เป็นช่วงที่ขนานกับถนนพระราม 6 และถนนวิภาวดีรังสิต รวมถึงใกล้กับโครงการจะเป็นซอยพหลโยธิน 2 ที่เป็นถนนตัดเชื่อมระหว่างวิภาวดีรังสิต-พหลโยธิน เลยมีทางเลือกในการใช้เส้นทางเลี่ยงรถติดพอสมควร
อย่างเช่นถ้าใช้ถนนวิภาวดีเข้าโครงการ ก็สามารถเลี่ยงถนนพหลโยธินช่วงอนุสาวรีย์ชัย-สนามเป้าได้ครับ ซึ่งเราสามารถวิ่งลัดเลาะซอยด้านในจากซอยพหลโยธิน 2 ทะลุหลังแฟลตตำรวจ มาออกซอยพหลโยธิน 6 ที่อยู่ก่อนถึงโครงการได้ สำหรับใครที่ไม่อยากกลับรถหรือเจอรถติดบนถนนหลักครับ
ถนนขนาบข้าง ทางด่วนขนาบคู่ อยู่ใกล้หลายจุดขึ้นลง
สำหรับการเดินทางไปย่านอื่นๆ เช่นสุขุมวิท/สีลม/สาทร นอกจากถนนพหลโยธินจะขนานกับถนนพระราม 6 และวิภาวดีแล้ว ถนนทั้ง 2 สายนี้ก็มีทางด่วนอยู่ด้วยเช่นเดียวกันครับ ซึ่งแถบนี้ก็จะมีจุดขึ้นลงทางด่วนค่อนข้างหลายจุด
อย่างฝั่งบนพระราม 6 ก็จะเป็นทางด่วนศรีรัช มีจุดขึ้นลงพระราม 6 (คลองประปา) ซึ่งถ้าลงตรงนี้ก็สามารถทะลุผ่านพระราม 6 ซอย 30 (อารีย์สัมพันธ์) มาออกซอยพหลโยธิน 5 ใกล้ๆ ตึก Pearl ได้ครับ
หรือจุดขึ้นลงอีกจุดของทางด่วนศรีรัชจะอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิครับ สามารถขึ้นไปได้ทั้งไปทางพระราม 9/สุขุมวิท และยมราช-พระราม 4-สีลม
อีกฝั่งบนถนนวิภาวดีก็จะเป็นทางด่วนโทลเวย์สำหรับใช้ออกไปฝั่งดอนเมือง-รังสิตครับ ซึ่งในการใช้งานเข้าเมืองปกติอาจจะไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่ก็จะมีจุดขึ้นลงทางด่วนศรีรัชและเฉลิมมหานครอยู่ตรงแยกดินแดงครับ ซึ่งก็จะเป็นอีกทางที่เข้าเมืองสะดวก ด้วยการออกจากโครงการ แล้วเลี้ยวออกพหลโยธินซอย 2 ไปออกวิภา แล้วกลับรถเพื่อขึ้นด่านดินแดง ตรงนี้แปปเดียวก็จะสามารถเชื่อมต่อย่านสุขุมวิท-เพลินจิต-คลองเตยได้ครับ
ซึ่งในการใช้งาน ด้วยความที่มีจุดขึ้นลงหลายจุด ก็อาจจะขาไปทางนึง ขากลับใช้อีกเส้นทางนึงได้ครับ ตามสภาพการจราจรของในแต่ละวัน
สำหรับรถไฟฟ้าที่ใกล้โครงการ Noble Around Ari ก็ตามชื่อเลยครับ อยู่ห่างจาก BTS สถานีอารีย์ มีระยะเดินอยู่ที่ 90 เมตร ซึ่ง BTS สายสุขุมวิทถือว่าเป็นรถไฟฟ้าสายหลักของกรุงเทพสายนึงเลย ด้วยเส้นทางที่ผ่าใจกลางเมือง เชื่อมต่อ 3 จังหวัดทั้งปทุมธานี-กรุงเทพ-สมุทรปราการ
อย่างโซนกรุงเทพชั้นในก็จะผ่านหลายจุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นพหลโยธิน, อนุสาวรีย์ชัยฯ, ราชเทวี, สยาม, เพลินจิต, อโศก, สุขุมวิท, พร้อมพงษ์, ทองหล่อ, เอกมัย ไป อ่อนนุช บางนา และเชื่อมต่อสมุทรปราการ
ส่วนฝั่งเหนือของรถไฟฟ้าสายนี้ก็จะเชื่อมต่อกับย่านหมอชิต-จตุจักร, ห้าแยกลาดพร้าว, รัชโยธิน, เกษตร ไปย่านสายไหม-ลำลูกกา ปัจจุบันรถไฟฟ้าสายนี้เป็นสายที่มีผู้ใช้บริการสูงที่สุดในประเทศไทยด้วยครับ ซึ่งจากโครงการเอง ขึ้นรถไฟฟ้าไปไม่กี่ป้าย ก็สามารถเชื่อมต่อกับย่านสำคัญย่านต่างๆ ได้ฮะ
สำหรับคอนโด Noble กับย่านอารีย์ ก็เรียกได้ว่าอยู่คู่กันมานาน เป็นย่านถนัดของ Noble เลยก็ว่าได้ เพราะโครงการ Noble Around Ari ไม่ใช่โครงการแรกที่ Noble มาในย่านนี้ครับ ถ้านับรวมทั้งหมด ย่านอารีย์ก็มีคอนโด Noble รวมทั้งหมด 6 ตึกไปแล้ว
เริ่มจาก Noble Lite ในอารีย์ซอย 1 ที่มาในช่วงปี 2005 เป็นโครงการแรก ตามมาด้วย Noble Reflex ที่อยู่บนซอยอารีย์ซอยหลัก และ Noble Reform ที่อยู่หัวมุมปากซอยอารีย์ครับ โครงการนี้ใครที่ใช้รถไฟฟ้าน่าจะเห็นบ่อยๆ ข้างล่างโครงการมีร้านอาหารหลายร้านด้วยครับ
ถัดมาจะเป็น Noble re:d บนอารีย์ซอย 1 มาในช่วงปี 2010 โครงการนี้ก็โดดเด่นในเรื่องสีของตึก ที่เป็นสีแดงทั้งตึก ตามชื่อ re:d นั่นเองครับ ก่อนจะเว้นช่วงใหญ่ๆ มาเป็นโครงการ Noble Around Ari ที่มาตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม บนถนนพหลโยธิน เป็นโครงการที่เพิ่งสร้างเสร็จเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ Noble ก็ยังมี “NUE Evo Ari” เป็นโครงการล่าสุดในย่านนี้ที่เปิดในช่วงสองปีที่ผ่านมา ตัวโครงการนี้ทำเลก็จะอยู่ในซอยอารีย์ 1 เช่นกันครับ ตัวนี้กำลังก่อสร้างอยู่ จากจำนวนโครงการที่เปิด ทาง Noble ก็น่าจะมีความคุ้นเคยกับกลุ่มลูกค้าและ Lifestyle ของคนในย่านอารีย์พอสมควรเลยครับ
สำหรับโครงการ Noble Around Ari จะเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบบ 2 อาคารครับ อาคาร X จะเป็นตึกสูง 39 ชั้น ส่วนอาคาร Y ที่อยู่ด้านข้างจะเป็นอาคาร Low Rise สูง 7 ชั้นด้วยกัน จุดเด่นของโครงการอย่างแรกอยู่ที่ดีไซน์ของตัวตึก ที่จะดูมีความ Noble แบบเต็มๆ เน้นเส้นสายของ Architect ที่ออกมาในแนวเรียบๆ เท่ๆ แบบที่เราจะเห็นได้ในโครงการ Noble ที่ผ่านๆ มา ที่นี่ก็ยังเก็บ DNA ของความเป็น Noble ไว้เต็มที่เช่นเคยครับ
งานดีไซน์ของที่นี่จะมาในคอนเซปต์ Timeless Modernist Design ที่จะเน้นความเรียบง่ายของเส้นสายแต่ดูโมเดิร์นครับ ได้อินสไปร์มาจากแนวคิดของ Ludwig Mies van der Rohe สถาปนิกชื่อดังชาวเยอรมัน-อเมริกัน ผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในยุคต้นศตวรรษที่ 20 หรือประมาณช่วงปี 1900 กว่าๆ ครับ
โด่งดังจากแนวคิดการออกแบบในรูปแบบของ “Skin and Bones” ที่จะสะท้อนความเรียบง่าย ลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็น กลับไปสู่รูปทรงในแบบเลขาคณิต เป็นงานดีไซน์ที่เน้นความ Less is more แต่ God is in the Details ที่จะไปใส่ใจรายละเอียดต่างๆ ในการออกแบบแทน เป็นความเรียบง่ายที่มีอะไรซ่อนอยู่นั่นเอง
แต่นอกจากความเรียบง่าย Minimal ของงานดีไซน์อาคารแล้ว ที่นี่ก็จะผสมความหรูหราออกมาแบบไม่ตะโกนในการออกแบบภายในด้วยเช่นเดียวกันครับ ด้วยงาน Interior ด้านในที่ทำออกมามีพื้นที่เปิดโล่ง มีความโอ่อ่าแต่ก็ยังดูเท่และเข้มขรึมและมีดีเทลงานตกแต่งต่างๆ เดี๋ยวเราไปดูพื้นที่ส่วนกลางแต่ละจุดกันครับ
โครงการ Noble Around Ari จะจัดส่วนกลางออกมาเป็น 3 โซนหลักๆ ด้วยกันครับ นั่นคือโซนชั้นล่าง ที่จะเป็นสวนและ Lobby ของทั้ง 2 อาคาร, โซนกลางตึก X ที่จะถูกทำเป็นห้อง Lounge สำหรับมานั่งพักผ่อน พร้อมห้องที่เป็นกระจกยื่นออกมาในอากาศ และ 3 ชั้นบนสุดของอาคาร X ที่เป็นสระว่ายน้ำ ฟิตเนส และสวนที่ถูกวางไว้รอบอาคาร รับวิวได้รอบทิศโดยที่ไม่มีตึกบัง
เราลองมาดูกันครับว่าแต่ละจุดทำออกมาได้น่าสนใจขนาดไหน
เป็นอาคารที่มีพื้นที่ส่วนกลางเยอะ ไฮไลท์คือชั้นดาดฟ้าที่มี Facility ถึง 3 ชั้นติดกัน พร้อมวิวเมืองแบบ 360 องศา
สิ่งแรกถ้าเดินเข้ามาในโครงการ เราจะเจอกับอุโมงค์ต้นไม้ก่อน เนื่องจากตึกมีระยะ Set Back จะถนนประมาณ 50 เมตร ตรงนี้ก็จะช่วยลดความวุ่นวายจากภายนอก ก่อนเข้ามาถึงภายในโครงการ และช่วยสร้างบรรยากาศความร่มรื่นให้กับโครงการได้ดีทีเดียว ซึ่งนานๆ ทีเราจะเห็นโครงการคอนโดใจกลางเมืองที่มาพร้อมกับอุโมงค์ต้นไม้ ตรงนี้ก็ดูแปลกตาดีเหมือนกันครับ ถ้าแต่ละต้นโตแผ่กิ่งก้านเต็มที่น่าจะดูดีทีเดียว และด้านข้างก็จะเป็นทางเดินพร้อมหลังคากระจกกันแดดกันฝน
เมื่อเข้ามาถึงจะเจออาคาร X ที่เป็นตึกสูง 39 ชั้นก่อนครับ อาคารนี้ด้วยความที่มียูนิตเยอะกว่า ก็เลยจะมี Lobby ที่ใหญ่ และพื้นที่ส่วนกลางเยอะกว่าอาคาร Y ที่เป็นฝั่ง Low Rise
โดยตัว Lobby ที่นี่มีขนาดใหญ่ ดูโอ่อ่า มีพื้นที่ Double Volume ตลอดแนว พร้อมกระจกเต็มบานแบบพื้นจรดฝ้า รับวิวและแสงจากภายนอกเข้ามาด้านในแบบเต็มๆ โดยการตกแต่งก็จะมาในสไตล์เข้มๆ โทนสีดำ เน้นงาน Architect ที่เรียบง่ายเช่นกัน แต่จะมีดีเทลซ่อนอยู่อย่างเสามีตกแต่งหินอ่อน และมีบันไดวนที่เป็นจุดเด่นของการออกแบบ Lobby ของตึกนี้ครับ
ในด้านของที่นั่งใน Lobby ก็จะมีหลายโซนให้เลือกครับ ทั้งโซนด้านหน้า หรือโซนมาชมวิวติดหน้าต่าง ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ที่เลือกใช้ เราจะเห็น Barcerona Chair อีกหนึ่งผลงานการออกแบบของ Ludwig Mies van der Rohe ตั้งอยู่ใน Lobby ด้วยเช่นเดียวกัน เข้ากับงานออกแบบของ Lobby ได้เป็นอย่างดี
จุดเด่นของ Lobby ที่เชื่อมต่อจากชั้น 1 ไปยังชั้น 2
ในแง่ของฟังก์ชั่นการใช้งาน Lobby อาคาร X จะเป็นที่ตั้งของออฟฟิศนิติด้วยครับ นอกจากนี้ด้านหน้าก็จะมี Shop อยู่ 1 ห้อง ที่ตอนนี้เป็น Sales Gallery อยู่ ส่วนด้านขวาของอาคารจะเป็นโซนที่ต้องแสกนหน้าเข้า เป็นห้อง Mailroom และโถงลิฟต์ อาคารนี้จะมีลิฟต์โดยสารทั้งหมด 4 ตัว และมีเซอร์วิสลิฟต์อีก 1 ตัวครับ
ด้านข้างอาคารเชื่อมต่อกับ Lobby จะเป็นพื้นที่เปิดโล่งที่ทำออกมาเป็นลานน้ำพุครับ ข้างๆ ก็มีพื้นที่สีเขียวและโซฟาต่างๆ เผื่อใครเบื่อวิวเมืองแล้ว มานั่งพักผ่อนดูวิวชั้นล่างก็ให้อารมณ์อีกแบบเหมือนกัน ไม่จำเจดีครับ ถ้าตอนกลางคืนจะมีไฟรอบๆ น้ำพุด้วย
อย่างเมื่อกี้เราจะเห็นว่า Lobby มีบันไดวนใช่ไหมครับ ถ้าเดินขึ้นมาก็จะเจอกับห้องทำงานขนาดใหญ่ พื้นที่ทำงานเขาค่อนข้างเยอะ เพราะโต๊ะทำงานเขาเป็นเหมือนกิ่งของต้นไม้ ที่ลูกบ้านสามารถมานั่งตามกิ่งต่างๆ ได้เลย ดูเป็นส่วนตัวถึงแม้จะอยู่ในโต๊ะแบบส่วนรวม หรือถ้าไม่ได้มานั่งทำงาน ก็มีโซนให้นั่งโซฟาชิวๆ มองวิวสวนด้านนอกด้วยเหมือนกัน วิวของห้องนี้ก็จะไม่ปิดทึบ เป็นพื้นที่นึงของโครงการที่สามารถใช้งานได้จริงเลย วันที่เรามาก็เห็นลูกบ้านมาใช้งานกันหลายคนครับ
มุมนี้เรียกได้ว่าเป็นมุมไฮไลท์ วิวไอคอนิกอีกจุดนึงของโครงการนี้เลยครับ ที่มองออกไปเห็นตึก Pearl กับชั้น 23 ที่จะแบ่งแปลนออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งที่เป็นห้องพักอาศัยที่อยู่ด้านหลังกับฝั่งพื้นที่ส่วนกลางที่อยู่ด้านหน้า
พื้นที่ส่วนกลางเนี่ย ทั้ง 2 มุมเค้าจะทำเป็นห้องกระจกยื่นออกไปจากตัวตึกด้วยครับ ทำให้เวลามองจากด้านใน จะได้วิวแบบเต็มๆ โดยที่ไม่มีเสาต่างๆ มาบังพร้อมกระจกขนาดใหญ่แบบรอบทิศ ซึ่งพื้นที่ส่วนกลางเองก็จะแบ่งออกเป็นหลายโซนเลย แต่ส่วนใหญ่จะเป็น Lounge Sofa ฮะ แต่เขาไม่ได้มีแค่ที่นั่งในห้องแอร์นะ ด้านนอกมี Outdoor Seating ด้วย เผื่อใครอยากไปนั่งรับลม ถ่ายรูปเมืองเก๋ๆ ก็เป็นชั้นที่ค่อนข้างอเนกประสงค์ในการทำกิจกรรมเลยแหละ
เป็นพื้นที่นั่งเล่นที่เราสามารถมองวิวข้างนอกได้แบบเต็มๆ ตาครับ จะมานั่งทำงาน นั่งเล่น นั่งชิวได้หมด วิวสวยสุดๆ อย่างที่บอกไปว่าห้องนี้จะได้ความเป็นวิวเมืองของย่านอารีย์ นอกจากนี้ห้องนี้ก็จะมีพื้นที่โต๊ะ Pool ที่ทำออกมาเป็น Game Room ด้วยครับ
พื้นที่ส่วนกลางที่ชั้นนี้จะแบ่งออกเป็น 3 โซนหลักๆ ด้วยกัน คือตรงกลางจะเป็น Uptown Sky Lounge ที่จะมี Co-kitchen Counter พร้อมบาร์แบบยาว ด้านนอกมีพื้นที่นั่งเล่น ชมวิว ต่างชาติที่ชอบอากาศแบบ Open Air ก็น่าจะชอบมุมนี้ครับ ไม่ต้องอยู่แต่ในห้องแอร์อย่างเดียว โดยจะมีประตูเชื่อมฝั่งซ้ายเป็น Lounge Sofa เมื่อซักครู่ และฝั่งขวาเป็น Tea Room
มาถึงห้องนี้ จริงๆ ฟังก์ชั่นก็ยังจะคล้ายกันครับ คือเน้นมานั่งพักผ่อน/ทำงานต่างๆวิวด้านนี้ก็จะได้ฝั่งพหลที่มองไปทางสวนจตุจักรครับ
โซนโต๊ะกลมค่อนข้าง Private มากขึ้น เผื่อเอาไว้มาคุยธุระหรือต้องการความเป็นส่วนตัวครับ
ชั้นนี้จะเป็นพื้นที่สระว่ายน้ำทั้งหมดเลยครับ เป็นสระว่ายน้ำ Semi-outdoor แบบ 360 องศา สามารถชมวิวได้แบบ 4 ทิศทาง ซึ่งแต่ละมุมก็จะมีวิวที่ต่างกันออกไป มีทั้งโซนที่เป็น Lap Pool สามารถว่ายออกกำลังกายได้ โซน Kids Pool โซน Terrace Lounge ไม่ต้องมาว่ายน้ำ แต่อยากมานั่งชมวิวก็มีเตียง Daybed เอาไว้ให้ด้วย หรือจะเป็นโซน Romance Island ที่ต้องว่ายน้ำไปอย่างเดียว เดินไปไม่ได้สำหรับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัวก็มีเหมือนกันฮะ หรือถ้าใครจะว่ายน้ำวนรอบเลย ก็ทำได้เช่นกัน
นอกจากนี้ภายในห้องน้ำทั้งผู้หญิงและผู้ชายยังมี Steam Room ด้วย รูปมุมจากสระว่ายน้ำเยอะหน่อยครับ ชั้นนี้สวยจริง อันนี้คอนเฟิร์ม
ตอนพระอาทิตย์ตกดินก็จะเป็นอีกบรรยากาศนึงครับ แน่นอนว่าตอนกลางคืนก็จะให้อารมณ์อีกแบบนึงเช่นกัน
ถัดขึ้นมาจะเป็นเป็นยิมแบบ 360 องศาที่อยู่เหนือสระว่ายน้ำครับ ออกกำลังกายไปด้วย ชมวิวไปด้วย โดยเขาจะแบ่งออกเป็นโซนๆ ครับ โดยอุปกรณ์จะใช้ของ TechnoGym ทั้งหมด อย่างโซนที่เป็นลู่วิ่ง เครื่องปั่นจักรยาน Cadio ต่างๆ ก็จะอยู่ด้วยกันที่ด้านหน้า ส่วนโซน Weight Training ก็จะอยู่ฝั่งตรงข้ามคนละโซนกันที่ด้านหลัง
ด้านข้างจะเป็นโซนโยคะและอุปกรณ์การออกกำลังกายอื่นๆ หรือถ้าอยากนั่งพักเหนื่อยก็มีโซนให้นั่งรอเหมือนกันครับ ถือว่ารองรับการมาออกกำลังกายหลายๆ คนพร้อมกัน ถ้าไม่ได้เล่นเครื่องเล่นประเภทเดียวกันก็ยังมีความเป็นส่วนตัวอยู่ โดยถ้าจะขึ้นมาที่ชั้น 39M และดาดฟ้า เขาจะมีลิฟต์แยกตางหากอยู่ชั้นที่ 39 เป็นลิฟต์แก้วที่สามารถเห็นวิวขณะที่อยู่ในลิฟต์ได้ ใช้งานเฉพาะ 3 ชั้นนี้ครับ
ชั้นนี้นอกจากจะมีพื้นที่พักผ่อนเยอะแล้ว ต้นไม้ก็ยังเยอะด้วย เป็นสวนแบบ 360 องศา มีต้นไม้ใหญ่ ทางเดินปูด้วยหิน มีความเป็นธรรมชาติพอสมควรเลย มีหลังคาบังแดดบังฝน กำแพงทำเป็นระแนงปูนซี่ๆ เรียงต่อกัน เวลาแดดกระทบจะเกิดเงา แล้วก็มีเคาน์เตอร์ยาวเท่ากำแพงระแนงเลย มาพร้อมที่นั่งแบบไม่ชิดกันจนเกินไป เหมาะกับการมองวิว รับลมสงบๆ แบบที่ไม่ได้อยากข้องเกี่ยวกับใครมากๆ
โซนเก้าอี้มีเยอะมากจริงๆ ครับ สามารถนั่งเล่นได้ทุกมุม ตอนกลางวันอาจจะร้อนมากหน่อย แต่เย็นๆ ค่ำๆ น่าจะบรรยากาศดี ที่สำคัญคือถ่ายรูปสวยมากกกกกก
มาต่อกันที่อาคาร Low Rise ที่อยู่ข้างๆ กันบ้าง อาคารนี้จะอยู่ติดกับบริเวณจุดจอด Auto Parking ก่อนเลย ตัว Lobby ของตึกนี้เลยทำออกมาเป็นทั้งพื้นที่ใช้งานสำหรับลูกบ้าน และเป็นพื้นที่นั่งรอระหว่างเรียกรถจาก Auto Parking ครับ ด้านในสุดเป็น Co-creative Space
ซึ่งพื้นที่ส่วนกลางชั้นนี้ทั้งหมดสามารถมองเห็น Around Garden ที่อยู่ด้านนอกได้ครับ เป็น Lobby ที่ดูเรียบง่ายแต่ผมกลับชอบนะ เพราะตัวถนนด้านนอกเองก็มีความวุ่นวายพอสมควร ไม่ว่าจะตอนกลางวันหรือตอนกลางคืน แต่พอได้มาที่ Lobby นี้ ได้ถ่ายรูป มองวิวทั้งผ่านสายตาและผ่านเลนส์กล้อง ก็รู้สึกสงบดีเหมือนกันครับ
อาคารนี้นอกจากจะมี Lobby แล้ว ยังมีพื้นที่นั่งรอรถที่จอดแบบ Auto Parking ด้วย อยู่ใกล้กับทางเข้าเลย ลูกบ้านจะได้ไม่ต้องไปตากแดดรอร้อนๆ ข้างนอกฮะ ตัว Lobby อาจจะไม่ได้ใหญ่เท่าอาคาร Y นะครับ เพราะจำนวนยูนิตไม่ได้เยอะ
ติดกับ Lobby ก็จะเป็นพื้นที่นั่งทำงานครับ เป็นโต๊ะขนาดใหญ่เลย จะบอกว่าบรรยากาศดีมาก เพราะสามารถมองเห็นวิวสวนข้างนอกได้ด้วย ถึงแม้จะอยู่ชั้น 1 แต่ไม่ได้ดูวุ่นวายเลย
สวนที่อยู่ด้านนอก เราสามารถเดินออกไปจาก Lobby ก็ได้ หรือจาก Co-creative Space ก็ได้ครับ หน้าต่างเขาทำเป็นประตูที่เปิดเข้าออกได้ ด้านนอกจะมีที่นั่งเป็นหลุมวงกลม รอบๆ วงกลมจะเป็นเหมือนน้ำที่ไหลผ่านตลอดเวลา ให้เรารู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีต้นไม้ขนาดใหญ่ ทางเดินปูด้วยหิน และกำแพงรอบๆ ก็เต็มไปด้วยต้นไม้ทั้งหมดเลย
ด้วยความที่เป็น Low Rise ส่วนกลางก็เลยไม่ได้เยอะเท่าตึก X นะครับ นอกจากชั้น 1 แล้วก็ยังมีชั้นดาดฟ้าที่เขาก็ไม่ได้ปล่อยทิ้งไว้โล่งๆ แต่ทำเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับลูกบ้านด้วย ถึงยังไงก็สามารถข้ามตึกไปใช้พื้นที่ส่วนกลางที่อาคาร X ได้อยู่แล้ว เขาไม่ได้แยกกันนะครับ
ด้วยความที่อยู่ย่านในกลางเมือง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารอบข้างก็จะต้องมีตึกขึ้นมาบ้างเช่นกันครับ อย่างที่นี่ก็จะมีตึกที่ตั้งอยู่ในระยะใกล้ๆ ประมาณ 4 ตึกด้วยกัน โดยที่การจัดวางตำแหน่งห้องของที่นี่จะมีทั้ง 4 ด้านเลย และมีห้องมุมอยู่ทั้ง 4 มุม ดังนั้นแปลนห้องและวิวที่ได้ของที่นี่ก็จะค่อนข้างหลากหลายครับ และด้วยความที่ตึก X ของโครงการค่อนข้างสูง ดังนั้นชั้นส่วนกลางที่ Rooftop ของตึกก็แทบจะไม่มีอะไรมาบังแล้วครับ อย่างภาพด้านล่างจะเป็นวิวแต่ละด้านจากชั้นสระว่ายน้ำ Rooftop ครับผม
– ด้านทิศตะวันออก –
ทิศนี้จะหันไปทางด้านหลังของโครงการ เป็นวิวที่โล่งที่สุดครับ จะเห็นกรมทหารด้านหลังและถนนวิภาวดี-พระราม 9
– ด้านทิศเหนือ – ทิศนี้หันไปทางสวนจตุจักร เป็นวิวที่จะเห็นตึก SME Bank อยู่ในระยะเยื้องๆ ไม่ตรงกันมากครับ นอกนั้นก็ยังค่อนข้างเปิดโล่งอยู่ ด้วยความที่ตึกมี Setback จากถนนเข้ามาเยอะ
– ด้านทิศใต้ – ในภาพจะเป็นก่อนที่ตึก Vanit Place ข้างๆ สร้างเสร็จ เลยอาจจะยังไม่เห็นตึก วิวจากทิศนี้ก็จะใกล้กับตึกข้างๆ ครับ ทิศนี้จะเน้นห้องเล็กเป็นหลัก แต่ถ้าห้องมุมทิศนี้ก็ยังได้วิวจากด้านอื่น
– ด้านทิศตะวันตก – ทิศนี้จะหันไปด้านหน้าของโครงการครับ จุดเด่นคือจะเห็นตึก Pearl ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม โดยที่ระหว่างสองฝั่งถนนก็จะมีระยะห่างกันพอสมควรระยะร้อยกว่าเมตรครับ
ที่นี่ห้องขนาดจะไม่ได้ใหญ่มากครับ มาในแบบ Compact Luxury ขนาดอยู่ที่ 26 – 44 ตารางเมตร ห้องไซส์ใหญ่สุดเป็นแบบ 1 Bedroom Plus เน้นกลุ่มคนทำงานเป็นหลัก ด้วยความที่โครงการนี้มี 2 อาคาร ทั้ง High-rise และ Low-rise แต่แปลนในอาคารเขาจะแตกต่างกันนะครับ
อย่างอาคาร X ที่เป็น High-rise มียูนิตเยอะกว่า แปลนห้องก็จะหลากหลายกว่า แต่ถ้าเป็นอาคาร Y ที่เป็น Low-rise ยูนิตน้อยกว่า และมีแปลนห้องแบบเดียวให้เลือกเลย ทุกห้องทุกชั้นก็จะเป็นแปลนเดียวกันทั้งหมดครับ
– อาคาร X ชั้น 3 – 22 และ 24 – 38 –
จากแปลนเพื่อนๆ ก็จะเห็นว่าลิฟต์โดยสาร เซอร์วิสลิฟต์ และบันไดหนีไฟก็จะอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยห้องพักอาศัย มุมอาคารจะเป็นห้องขนาดใหญ่ ชั้นนึงจะมีห้องพักอาศัยประมาณ 15 ห้องครับ อาคารนี้จะมีทั้ง 1 Bedroom และ 1 Bedroom Plus ให้เลือก
– อาคาร Y ชั้น 2 – 7 –
อาคาร Y จะเป็นแปลนเดียวกันทั้งหมดเลยครับ มี Layout เดียวเลย ชั้นนึงจะมีประมาณ 13 ห้อง อาคารนี้จะมีลิฟต์โดยสารทั้งหมด 2 ตัวฮะ
📌 1 Bedroom S 26.40 – 27.30 ตารางเมตร
แปลนนี้เป็นขนาดเริ่มต้น ครัวจะอยู่ด้านหน้า ตรงข้ามครัววางได้ทั้งโต๊ะกินข้าวและโต๊ะทำงาน เป็นแปลนเดียวในโครงการที่ได้ครัวแบบปิด ด้านในจะเป็น Living Area ที่มีเตียงนอน โซฟาวางปลายเตียง และมีทีวีอยู่ติดผนัง ส่วนตู้เสื้อผ้าจะอยู่ด้านในติดกับทางเข้าห้องน้ำเลย ภาพรวมห้องให้อารมณ์เหมือนไปพักที่โรงแรมฮะ เน้นสบายๆ บรรยากาศเหมาะกับการพักผ่อน เข้าห้องมาตรงเข้าเตียงแล้วนอนได้เลย
📌 1 Bedroom M 34.70-34.80 ตารางเมตร
แปลนนี้จะได้ครัวอยู่ข้างหน้า เป็นครัวแบบเปิด แต่สามารถกั้นห้องเพิ่มเติมเองได้ โต๊ะกินข้าวจะอยู่ตรงข้ามกับครัว ข้างๆ สามารถ Built-in ตู้เก็บของเพิ่มได้ ด้านในจะเป็นมุมห้องนั่งเล่น วางโซฟาขนาด 2 ที่นั่งได้ มุมชั้นวางทีวีสามารถทำเชื่อมกับโต๊ะทำงานด้านข้าง ช่วยให้มีพื้นที่เก็บของมากขึ้น ห้องดูมี Mood&Tone ไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนห้องนอนก็สามารถวางเตียงขนาดใหญ่ได้ มีมุม Walk-in Closet มีพื้นที่แต่งตัวแต่งหน้าค่อนข้างเยอะ
📌 1 Bedroom M ห้องมุม 34.60-34.70 ตารางเมตร
ห้องนี้ก็จะคล้ายกับห้อง 1 Bedroom ขนาด 34 ตารางเมตรครับ แต่จะย้ายตำแหน่งไปอยู่ที่ด้านมุม ทำให้ห้องนอนได้ช่องแสงที่ใหญ่ขึ้น ดูโปร่งขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ตำแหน่งของห้องนี้ก็จะอยู่ติดกับห้องด้านข้างแค่ฝั่งเดียวครับ เป็นส่วนตัวขึ้น
📌 1 Bedroom Plus 41.6-42 ตารางเมตร
ห้องนี้จะมีห้องอเนกประสงค์เพิ่มเข้ามา ได้ครัวใหญ่ มุมกินข้าววางโต๊ะขนาด 4 ที่นั่งได้ ติดกับมุมนั่งเล่นจะเป็นระเบียง ห้องนอนเล็กจะไม่มีหน้าต่างแต่สามารถดัดแปลงเป็นห้องอื่นๆ ได้ตามความชอบเลยไม่ว่าจะเป็นห้องทำงานหรือห้องนอน ห้องน้ำจะอยู่คั่นระหว่างห้องนอนเล็กกับห้องนอนใหญ่ เข้าออกได้ 2 ทาง คือจาก Living Area และห้องนอนใหญ่
📌 1 Bedroom Plus ห้องมุม 43.90-44.70 ตารางเมตร
ห้องนี้จะเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในโครงการครับ ฟังก์ชั่นเหมือนเป็นห้อง 2 ห้องนอน มีกระจกรอบห้อง ได้หน้าต่างรอบด้าน รวมทั้งห้องนอนเล็ก โดยที่ห้องนี้ก็ยังมีฟังก์ชั่นห้องน้ำเข้าได้ 2 ทางเช่นกัน และห้องนอนใหญ่มีพื้นที่แต่งตัวให้
มาดูห้องตัวอย่างกันครับห้องตัวอย่างจะมีทั้งหมด 2 แบบ เป็น 1 Bedroom กับ 1 Bedroom Plus เดี๋ยวจะพาเพื่อนๆ ไปดูห้อง 1 Bedroom กันก่อน
ห้องแรกที่เราจะพามาดูเป็น 1 Bedroom ห้องมุมขนาด 34 ตารางเมตรครับ ห้องนี้จะอยู่ริมสุดทางเดินเลย เป็นห้องมุมแบบหน้ากว้างที่ในห้องดูมีความเป็นส่วนตัวอยู่พอสมควรฮะ ถ้าเปิดประตูเข้ามา ห้องจะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งนะ ฝั่งขวาเป็นครัวแบบเปิด ส่วนฝั่งซ้ายจะเป็นมุมกินข้าว มุมนั่งเล่น และระเบียง ส่วนห้องนอนและห้องน้ำก็จะอยู่ด้านใน ตอนที่ผมเข้าไปด้านในห้องค่อนข้างสว่างเลย เพราะประตูระเบียงค่อนข้างใหญ่เต็มผนัง บวกกับเพดานที่สูง 2.7 เมตร ทำให้ห้องดูโปร่งโล่ง ไม่อึดอัด
มุมนั่งเล่นขนาดกำลังดี สามารถวางโซฟาขนาด 2 – 3 ที่นั่ง หรือโซฟารูปตัว L ได้ ห้องนี้วิวจะโล่งพอสมควรฮะ กระจกประตูบานสไลด์ค่อนข้างเกือบถึงฝ้าเต็มบาน มองเห็นตึก Pearl และรถไฟฟ้าได้ แต่เสียงไม่ได้เข้ามารบกวนด้านในนะ ห้องเงียบมากครับ เพราะถึงทางเข้าจะอยู่ติดถนนใหญ่ก็จริง แต่พื้นที่อาคารอยู่ลึกเข้ามาอีก ทำให้เสียงก็มีความลดทอนลงไปพอสมควรเลย
ฝั่งทีวีเราก็สามารถเพิ่มชั้นวางทีวีได้ หรือจะวางเป็นทีวีแบบมีขาตั้งในตัวก็ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับสไตล์การแต่งห้องของเพื่อนๆ ครับ
โดยรวมของโซน Living จะเห็นว่าถึงแม้ครัวจะอยู่ด้านในสุดของห้อง แต่ก็ไม่ได้มืดเลย เพราะช่องแสงด้านนอกส่องเข้ามาได้แบบเต็มๆ
มุมโต๊ะกินข้าวเราก็สามารถออกแบบได้หลากหลายเลยครับ อย่างในห้องตัวอย่างเขาทำเป็นไอเดียโต๊ะกลมที่สามารถนั่งได้ 2 คน เราสามารถวางเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมแทนก็ได้ หรือจะวางแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าชิดกับผนังด้านใดด้านหนึ่งไปเลย ใช้กินข้าวก็ได้ ใช้ทำงานก็ดี ค่อนข้างยืดหยุ่น หรือจริงๆ เราจะ Built-in มุมกินข้าวเป็นโซฟายาวไปจนถึงมุมนั่งเล่น เชื่อมต่อกันทั้งหมด ก็ทำให้มีพื้นที่มากขึ้นได้
ที่นี่เขาจะแต่งครัวมาในโทนสีดำครับ เคาน์เตอร์หน้าบานจะเป็นกระจกสีดำที่ไม่ได้ทึบแสง สามารถมองเห็นสิ่งของด้านในตู้ได้ลางๆ ท็อปเคาน์เตอร์จะเป็นสีขาว มีอ่างล้างจาน เตาไฟฟ้า และเครื่องดูดควันติดตั้งมาให้เรียบร้อย ส่วนตู้เก็บของด้านบนหน้าบานก็จะเป็นกระจกสีดำทั้งหมดเช่นเดียวกัน เขาให้ตู้มาเยอะมากๆ ครับ เก็บของได้เต็มที่เลย
ส่วนไมโครเวฟอยู่ข้างบนก็จริง แต่ไม่ได้ดูสูงขนาดนั้น สามารถเอื้อมจับได้ง่าย แต่ด้วยความที่เขา Built-in ตู้มาให้แบบจัดเต็ม ทำให้เราไม่สามารถวางตู้เย็นสูงๆ ได้ครับ ดังนั้นพื้นที่สำหรับการเลือกตู้เย็นอาจจะจำกัดนิดนึงนะ
อ่างล้างจาน เตาไฟฟ้า และเครื่องดูดควันที่โครงการให้มาจะเป็นของ TEKA นะครับ มี Backsplash หรือผนังที่กันน้ำมันกระเด็นมาให้ด้วย เป็นกระจกสีดำเข้ากับหน้าบานเคาน์เตอร์ นอกจากจะสวยงามแล้ว ยังทำความสะอาดง่ายด้วย
ภายในลิ้นชักก็จะมีช่องเก็บอุปกรณ์ต่างๆ มาให้ สำหรับเครื่องซักผ้า เขาจะเจาะช่องตรงเคาน์เตอร์มาแล้วนะครับ เพื่อที่เราจะได้เสียบปลั๊กได้ และไม่ต้องมาเจาะเพิ่มเองให้เสียเวลา
มาต่อกันที่ห้องนอน ก็จะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งอีกเหมือนเดิม ฝั่งซ้ายจะเป็นพื้นที่สำหรับวางเตียงนอน สามารถ Built-in ชั้นวางของเพิ่มได้ ตรงผนังปลายเตียงจะเป็นผนังทึบที่คั่นระหว่างหน้าต่างกระจกกับประตูระเบียงเอาไว้ เป็นอีกห้องที่ได้ช่องแสงเยอะมากๆ เหมือนกัน ถ้าเบื่อวิวทิศห้องนั่งเล่นแล้ว มามองวิวฝั่งห้องนอนก็จะได้บรรยากาศที่แตกต่างกันครับ
ที่นี่ก็จะ Built-in ตู้เสื้อผ้ามาให้เช่นเดียวกัน Mood&Tone จะเหมือนกับเคาน์เตอร์ครัวเลยฮะ ได้หน้าบานตู้เป็นประตูกระจกสีดำ ตัดกับตัวตู้ที่เป็นไม้สีเข้มได้อย่างลงตัว สามารถใส่เสื้อผ้าได้ทั้งสองฝั่ง ด้านในจะมีลิ้นชัก ราว และไฟมาให้แล้ว
สวิตช์จะให้แบบนี้ทุกห้องเลยนะครับ Touch Screen เพื่อเปิดปิด นอกจากจะสวยแล้ว ตอนกลางคืนไม่ต้องกลัวว่าจะมองไม่เห็น เพราะสวิตช์จะมีแสง เห็นชัดแน่นอนฮะ โดยโครงการจะมีระบบ Home Automation มาให้สำหรับควบคุมไฟและเปิดปิดแอร์
ส่วนห้องน้ำจะได้สุขภัณฑ์เหมือนกันหมดเลย อย่างห้องอาบน้ำก็จะมีประตูกระจกติดตั้งมาให้แล้ว มีฝักบัว Rain Shower และด้วยความที่ไม่มีชั้นแบบเจาะผนัง ดังนั้นเขาเลยติดตั้งที่วางสบู่มาให้แล้ว
ส่วนอ่างล้างหน้าด้านล่างไม่ได้เป็นเคาน์เตอร์ที่สามารถเก็บของได้ เขาเลยใช้กระจกแบบที่สามารถใส่ของข้างในได้ จะได้ไม่ทำให้มุมอ่างล้างหน้ารกเกินไปครับ แล้วตัวกระจกเองก็จะมีไฟติดตั้งมาให้แล้วด้วย
ส่วนตรงอ่างล้างหน้าก็จะมีปลั๊กมาพร้อมฝาปิดกันน้ำ จะเป่าผม ม้วนผม โกนหนวดหน้ากระจกก็ได้ฮะ ส่วนชักโครกจะเป็นแบบอัตโนมัติทุกห้องเลย แล้วก็มีชั้นวางของแบบเจาะผนังด้วย
ระเบียงพื้นที่จะไม่ได้กว้างมากมาย ค่อนข้างแคบแต่ยาว ไม่ได้เน้นให้ออกไปทำกิจกรรมด้านนอกเท่าไหร่ฮะ ใช้ชมวิวเปิดรับลมแทน แล้วเครื่องซักผ้าเขาก็จัดที่ให้ไว้ในครัวเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นตรงระเบียงก็จะโล่งๆ แบบนี้เลย
ห้องตัวอย่างห้องสุดท้าย จะมีห้องอเนกประสงค์เพิ่มเข้ามาครับ แล้วก็ได้ครัวรูปตัว L มีความกว้างขึ้น สามารถทำอาหารได้สบายๆ ได้ครัวเปิดเหมือนเดิม เป็นห้องที่ Living Area ค่อนข้างกว้างขวางเลยแหละ
ส่วนมุมนั่งเล่นสามารถวางโซฟาขนาด 2 ที่นั่งได้ แต่ด้านข้างที่ติดกับระเบียง เพื่อนๆ สามารถวางเก้าอี้หรืออาร์มแชร์ขนาดไม่ใหญ่เพิ่มอีกได้นะ ห้องนี้ระยะห่างระหว่างโซฟากับทีวีค่อนข้างเยอะ ทำให้เราสามารถวางทีวีจอใหญ่ๆ ได้ ทั้งยังสามารถเดินผ่านไปมาได้สะดวกแม้จะมีโต๊ะกาแฟเล็กๆ วางอยู่ด้วยก็ตาม
มุมกินข้าวกับมุมนั่งเล่นจะอยู่ฝั่งขวาทั้งหมด จริงๆ ถ้าไม่ Built-in ตู้เก็บของ ก็สามารถวางโต๊ะกินข้าวแบบ 4 ที่นั่งได้สบายๆ เลย พื้นที่เหลือเฟือครับ แต่ตู้เก็บของก็ช่วยให้เรามีพื้นที่ในการเก็บสิ่งของต่างๆ เยอะขึ้น อะไรที่เกะกะสายตาในห้องนั่งเล่นก็สามารถเก็บได้ทั้งหมดเลย
ยิ่งใครที่เป็นคนชอบเก็บหรือมีของเยอะ ตู้เก็บของก็เป็นอะไรที่จำเป็นมากฮะ แต่จริงๆ ถ้าห้องไม่ได้อยู่กันหลายคน อยู่กันแค่หนึ่งหรือสองคน โต๊ะกินข้าวแบบ 2 ที่นั่งก็เพียงพอแล้วแหละ
มุมครัวรูปตัว L ที่ดูกว้างขึ้น จะกินพื้นที่ฝั่งซ้ายทั้งหมดเลย และด้วยความที่ครัวใหญ่ขึ้น ดังนั้นพื้นที่เก็บของก็จะมีเยอะขึ้นตามไปด้วย ทั้งด้านบนและด้านล่างเลย ใครที่ชอบทำอาหารน่าจะชอบห้องนี้ฮะ เพราะเวลาทำอาหารก็ต้องใช้พื้นที่ในการเตรียมวัตถุดิบนู่นนี่ค่อนข้างเยอะ ดังนั้นการมีเคาน์เตอร์กว้างๆ ก็ช่วยให้เราเอนจอยกับการทำอาหารมากขึ้น
ส่วนพวกเตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน และอ่างล้างจานจะขนาดเท่ากับห้อง 1 Bedroom เลย
สำหรับห้องอเนกประสงค์ที่เพิ่มเข้ามาขนาดไม่ได้ใหญ่มาก ไม่มีหน้าต่าง สามารถทำเป็นห้องทำงานหรือห้องอื่นๆ ตามความชอบได้ แต่ห้องตัวอย่างเขาทำเป็นห้องนอนเล็กให้ดูเป็นไอเดีย เป็นเตียงแบบพับได้ ถ้าพับเตียงขึ้นไปจะเป็นโต๊ะทำงาน ด้านบนและด้านข้างเป็นตู้ที่สามารถเก็บของได้ทั้งหมด ส่วนตู้เสื้อผ้าก็ติดตั้งมาให้แล้ว ห้องนี้จะอยู่ติดกับห้องครัว
ห้องน้ำสามารถเข้าออกได้ 2 ทาง คือจากทาง Living Area และจากทางห้องนอนใหญ่ ห้องนี้จะเป็นแบบตอนลึก ด้านหน้าเป็นอ่างล้างหน้า ตรงกลางเป็นชักโครก และด้านในสุดเป็นห้องอาบน้ำ
สำหรับโครงการ Noble Around Ari ก็เป็นคอนโดพร้อมอยู่ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Luxury ที่ราคาอยู่ในช่วงประมาณ 200,000 ต้นๆ ต่อตารางเมตรครับ ก็ถือว่าราคาสมกับทำเลย่านอารีย์ที่ range ราคาของคอนโดบน BTS ส่วนดั้งเดิมที่ราคาจะอยู่ประมาณนี้ ซึ่งถ้าพูดถึงทำเลจุดที่ตั้งของโครงการบนอารีย์ ตัวที่ตั้งก็ถือว่าแทบจะติ๊กถูกหมดทุกข้อครับ ทั้งได้ติดถนนใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้าในระยะเดินแค่นิดเดียว สภาพแวดล้อมโดยรวม และใกล้ Community Mall ในย่าน
จุดตัดสินใจก็จะอยู่ที่ทำเลอารีย์ตรงนี้ ใช่ทำเลที่มองหาหรือเปล่าแค่นั้นเองครับ เพราะแต่ละทำเลก็จะมีความโดดเด่นที่แตกต่างกันออกไป และด้วยงบเท่านี้ก็สามารถเลือกได้หลายทำเล อย่างสุขุมวิท/สีลม-สาทร/สามย่าน อย่างย่านอารีย์เองก็จะมีความเป็นแหล่ง Lifestyle มีร้านกินดื่ม ร้านกาแฟ ที่กระจายตัวอยู่ในซอยต่างๆ ในละแวกใกล้เคียง ผสมกับความเป็นย่านกลางเมืองที่มีแหล่งงานต่างๆ ขึ้นตลอดสองฝั่งถนนพหลโยธิน จุดเด่นของทำเลตรงนี้ก็อย่างที่เล่าไปครับว่าจะใกล้ทั้งโซนออฟฟิศและโซนการแพทย์ย่านอนุสาวรีย์ชัยฯ-พระราม 6 ใกล้สยาม ใกล้สวนจตุจักร
ก็ค่อนข้างจะสะดวกสำหรับใครที่ทำงานในย่านแถวๆ นี้ หรือเชื่อมต่อไปกับโซนใกล้เคียง ผ่านเส้น BTS สายสุขุมวิท ถ้าโจทย์กำลังมองหาที่อยู่ในเมือง ที่เดินทางสะดวก ใช้ชีวิตอยู่ในย่านประมาณนี้ ที่นี่ก็ค่อนข้างตอบโจทย์ครับ
คู่เทียบแบบตรงๆ สำหรับในย่านอารีย์เอง ต้องบอกว่าแทบไม่มีเลย อย่าง NUE EVO ที่อยู่ในซอยอารีย์ 1 ก็จะเป็นตัวที่ราคาย่อมเยากว่า ทำเลรวมถึงสเป็กและส่วนกลางไม่ได้จัดหนักเท่า ถือว่าทำออกมาเน้นกลุ่มลูกค้าต่างกัน หรือบางโครงการก็เน้นห้องใหญ่ 2-3 ห้องนอนไปเลย
ซึ่งเหตุผลนึงที่โครงการในอารีย์ไม่ได้ชนกันตรงๆ ก็เพราะย่านนี้มีคอนโดเปิดใหม่น้อยด้วยครับ ด้วยความที่พื้นที่ดินสำหรับสร้างตึกสูงอาจจะมีไม่ค่อยเยอะ รวมไปถึงคนในละแวกนี้ค่อนข้างรักและหวงความเป็นอารีย์ ดังนั้นการจะขึ้นโครงการใหม่แต่ละทีในย่านนี้ ก็ถือว่าค่อนข้างโหดเอาเรื่องเหมือนกันในการขออนุมัติ EIA ของโครงการ เราถึงไม่ค่อยเห็นโครงการใหม่มากนัก ซึ่งโครงการนี้ทาง Noble เองก็ขายความใช้ชีวิตแบบ Limited Edition เช่นกัน
ทีนี้ถ้าเทียบกับย่านใกล้เคียง ส่วนใหญ่ในโซนพหล คอนโดใน Segment ใกล้เคียงกันก็จะมีอยู่ที่ 5 แยกลาดพร้าว กับข้ามมาโซนราชเทวีเลยครับ ซึ่งราคาของอารีย์ตรงนี้ ก็จะอยู่กึ่งกลางระหว่างสองทำเลครับ
ในส่วนของตัวโครงการ ก็ต้องบอกว่า Noble เป็นเจ้านึงที่ทำโครงการออกมาได้ดูมีความ Unique มีความเฉพาะตัวสูงพอสมควร หลายๆ โครงการดูแค่หน้าตาตึกก็เดาได้แล้วว่า Noble แน่ๆ ด้วยฟอร์มและรูปร่างของตัวตึกที่จะมีความเรียบง่าย แต่ซ่อนความมีสไตล์อยู่ ที่นี่ก็เช่นกันครับ ดังนั้นใครที่คาดหวังในเรื่องของความเท่ ความไม่เหมือนใคร ที่นี่ก็ค่อนข้างจะตอบโจทย์ตรงนี้ได้ดี อาจจะไม่ได้มาในแนว Luxury ประโคมหินอ่อนแผ่นใหญ่ๆ หรือจัดงาน Interior มาแบบเว่ออลังการ แต่มาในความ Minimal ที่แฝงดีเทลการออกแบบอยู่ในแต่ละจุดครับ
ซึ่งไฮไลท์ของที่นี่ก็จะอยู่ในเรื่องของการให้ Facility ที่ค่อนข้างจัดเต็ม อย่าง Sky Lounge ที่อยู่บนชั้น 23 ที่เป็นห้อง Lounge เพดานสูง จริงๆ จุดนี้แค่ทำเป็นห้องชมวิวเฉยๆ ก็ดูว้าวในการใช้งานแล้ว แต่ Noble ก็เลือกที่จะทำให้ห้องนี้ยื่นออกไปในอากาศทั้งสองด้าน และได้กระจกตลอดแนว ทำให้ตรงนี้เป็นมุม Iconic ของโครงการที่ถ่ายรูปสวย สามารถนั่งชมเมืองโดยมีฉากหลังเป็นตึกต่างๆ ในย่านอารีย์
อีกส่วนที่ทำออกมาได้ดีเช่นกันคือพื้นที่ Rooftop ที่สมชื่อ Around สามารถรับวิวได้รอบทั้งสระว่ายน้ำและฟิตเน้นส รวมไปถึงสวนบนดาดฟ้า ก็เป็นจุดนึงที่ถ้ามาดูโครงการนี้ช่วงบ่าย-เย็น ก็น่าจะเคลิ้มกับบรรยากาศได้ไม่ยาก นอกจากนี้โครงการก็ยังมี Facility กระจายอยู่ในจุดต่างๆ อีกครับ โดยรวมในเรื่องของ Facility ที่ให้ ก็ถือว่าสมกับราคา จำนวนเพียงพอกับห้องพักประมาณ 600 กว่ายูนิต
ในด้านของห้องพัก ที่นี่ขนาดจะไม่ได้ใหญ่มาก เป็นไซส์ Compact Luxury เริ่มต้นที่ 1 Bedroom ขนาด 26.4 ตารางเมตร ไปจบที่ 1 Bedroom Plus 44.7 ตารางเมตร จุดเด่นของที่นี่คืออาคารเป็นทรงแท่งขึ้นไปเลย แต่ละชั้นมีจำนวนยูนิตไม่เยอะมาก แล้วจัดห้องอยู่ทั้ง 4 ด้าน มีห้องมุมทั้ง 4 มุม ดังนั้นวิวและทิศก็จะมีให้เลือกทุกด้าน รวมไปถึงมีห้องมุมเยอะ บางฝั่งถึงแม้จะใกล้ตึกด้านข้าง แต่พอเป็นห้องมุมก็เลยจะมีอีกด้านที่เป็นวิวเปิดอยู่ดีครับ
พูดถึงข้อดีของโครงการไปเยอะแล้ว ขอพูดถึงจุดที่เป็นข้อสังเกตของโครงการนี้นิดนึงแล้วกันครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นอวยเกินไป จุดที่เป็นข้อสังเกตข้อแรก คือด้วยความที่คอนโดเป็น Segment ที่เป็นระดับ Luxury ห้องเริ่มต้น 26 ตารางเมตรอาจจะเป็นอะไรที่กระทัดรัดไปนิด คิดว่าน่าจะเหมาะกับคนที่มองห้องนี้เป็นบ้านหลังที่สอง หรือมาอยู่ในวันทำงาน วันหยุดกลับบ้าน หรือเน้นลงทุนปล่อยเช่า แต่ถ้าใช้ชีวิตที่นี่เป็นหลักอยู่ถาวรอาจจะต้องลองดูดีๆ ว่าพื้นที่พอไหมครับ หรือพิจารณาขยับเป็นห้อง 1 Bedroom M ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นแทน
ส่วนใครที่เป็นครอบครัวใหญ่ หรือมองหาห้องที่พื้นที่เยอะๆ ด้วยความที่ขนาดใหญ่สุดเป็น 1 Bedroom Plus 44.7 ตารางเมตร ซึ่งจริงๆ ฟังก์ชั่นก็จะเหมือนกับห้อง 2 ห้องนอนนั่นแหละครับ แต่ถ้าอยากได้พื้นที่กว้างขึ้นเป็น 50-60 ตารางเมตร หรืออยากได้ห้อง 2 bed 2 bath ที่นี่อาจจะไม่ได้มีห้องที่ตอบโจทย์นั้นครับ
โดยรวมสำหรับโครงการ Noble Around Ari ก็เป็นอีกโครงการนึงที่ใครกำลังมองหาคอนโดทำเลในโซนพหลโยธินหรือติด BTS สายสุขุมวิท หรือยังไม่มีทำเลในใจ แต่มีงบช่วง 5-10 ล้านบาท ลองแวะมาดูที่นี่ ก็เป็นอีกโครงการนึงที่ทำออกมาได้ดี ทั้งบรรยากาศต่างๆ ภายในโครงการ บรรยากาศรอบข้าง Facility ที่จัดมาให้ วิวรอบโครงการ คิดว่าน่าจะทำให้หลายคนถูกใจได้ไม่ยากครับ